สุวคนธบำบัด (Aromatherapy)
ในปัจจุบัน มนุษย์เริ่มหันมาเอาใจใส่ต่อสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะมีวิธีใดที่ทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจดี จะแสวงหามาสู่ตนเองเสมอ ประกอบกับกระแสความนิยมในการกลับสู่ธรรมชาติมีมากขึ้น คนเราจึงพยายามปรับตัวเองเข้าสู่ธรรมชาติให้มากที่สุด สุวคนธบำบัดหรือ Aromatherapy เป็นวิธีการรักษาอีกทางเลือกหนึ่งที่นำพืชหรือสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมมาใช้ประโยชน์ในการรักษาทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ที่จริงแล้วสุวคนธบำบัดมีการใช้กันมานานและได้หยุดความนิยมลงช่วงหนึ่งก่อนที่จะกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา
Aromatherapy มาจากคำว่า aroma ซึ่งแปลว่า กลิ่นหอม และ therapy หมายถึง การบำบัดรักษา Aromatherapy หรือ สุวคนธบำบัด จึงหมายถึง การบำบัดรักษาด้วยกลิ่นหอม โดยที่กลิ่นหอมนี้ส่วนใหญ่ได้จากน้ำมันหอมระเหย (essential oil) ที่สกัดได้จากส่วนต่างๆของพืชเช่น จาก ดอก ใบ ราก ผล เปลือกไม้ ยางไม้หรือเรซิน เป็นต้น อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือได้ว่าสุวคนธบำบัดสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้จริง เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยยา แต่อาจส่งผลทางด้านจิตใจซึ่งไปมีผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกายได้ไม่มากก็น้อย
ประวัติความเป็นมา
ชาวอียิปต์เป็นชาติแรกที่รู้จักนำเครื่องหอมมาใช้ประโยชน์ ส่วนใหญ่ใช้ในพิธีบูชาเทพเจ้า โดยการนำยางไม้หรือเรซิน ที่มีกลิ่นหอม ได้แก่ แฟรงคินเซนต์ (frankincense) มาเผาเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งอาทิตย์ (Ra) และนำเมอร์ (myrrh) มาเผาเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งพระจันทร์ และพบว่ามีการนำพืชหอมหลายชนิด มาใช้ในการเก็บรักษามัมมี่ เช่น อบเชย (cinnamon) เทียนข้าวเปลือก (dill seed) โหระพา (sweet basil) ลูกผักชี (coriander seed) ซึ่งพืชเหล่านี้มีน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณสมบัติ ในการฆ่าเชื้อโรคได้ดี ต่อมา ชาวกรีกได้นำน้ำมันหอมระเหย มาประยุกต์ใช้ทั้งทางด้านการแพทย์ และเครื่องสำอาง แล้วถ่ายทอดศาสตร์แห่งการใช้กลิ่นบำบัดรักษาโรค แก่ชาวโรมัน ต่อมาชาวโรมันจึงได้นำเครื่องหอมไปใช้ ในชีวิตประจำวัน และในพิธีกรรม และพัฒนาหลักความรู้นี้ผสมผสานเข้ากับศาสตร์แขนงอื่น เช่น การนวด โดยผสมเครื่องหอมลงในน้ำมันสำหรับทาตัว และนวดตัวหลังอาบน้ำ ผสมเครื่องหอม ลงในอ่างน้ำ ฯลฯ และเมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายจึงทำให้ไม่มีการใช้น้ำมันหอมระเหยอีก แต่พบหลักฐานว่ามีการนำ น้ำมันหอมระเหยมาใช้รักษาโรค ในประเทศแถบอาหรับ อริโซน่า หมอชาวอาหรับ เป็นผู้ค้นพบวิธีการกลั่นน้ำมันหอมระเหยเป็นครั้งแรก และนำหลักการนี้ไปสอนในมหาวิทยาลัยในประเทศ สเปน ความรู้ทางด้านน้ำมันหอมระเหยจึงได้แพร่ มาสู่ยุโรป ต่อมา ราเนอ โมรีซ กาทฟอส (Rane Maurice Gattefosse) นักเคมี ชาวฝรั่งเศสได้ค้นพบประสิทธิภาพของน้ำมันหอมระเหยโดยบังเอิญ โดยที่ขณะเขาทำการทดลองในห้องปฏิบัติการ เกิดอุบัติเหตุไฟลวกมือ ด้วยความตกใจจึง เอามือไปปัดถูกขวดน้ำมันลาเวนเดอร์ทำให้น้ำมันลาเวนเดอร์ หกรดมือที่ถูกไฟลวกนั้นเขาได้พบว่าแผลไฟลวกที่มือนั้นหายเร็วกว่าปกติ และมีรอยแผลเป็นน้อยมาก จากนั้นเขาจึงเริ่มหันมาสนใจค้นคว้าเกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยชนิดอื่น ๆ เพิ่มเติม ทั้งประโยชน์ทางด้านการแพทย์และเครื่องสำอางและเป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า Aromatherapy เป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ.1928
ประเภทของสุวคนธบำบัด
สุวคนธบำบัด สามารถแบ่งตามการนำไปใช้ได้ดังนี้
1. สุวคนธบำบัดสำหรับใช้เป็นเครื่องสำอาง (Cosmetic Aromatherapy) เป็นการใช้น้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในรูปของ ครีมบำรุงผิว โทนเนอร์ แชมพู ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า หรือจะเป็นการใช้น้ำมันหอมระเหยในการอาบน้ำ โดยหยดน้ำมันหอมระเหยประมาณ 6-8 หยดลงในอ่างแช่ตัวประมาณ 20 นาที ความร้อนจากน้ำอุ่นจะช่วยเพิ่มการซึมผ่านผิวหนังและได้สูดดมกลิ่นของน้ำมันหอมระเหย ในขณะเดียวกัน
2. สุวคนธบำบัดสำหรับการนวด (Massage Aromatherapy) เป็นการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ในการนวด วิธีนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากเพราะเป็นการใช้น้ำมันหอมระเหยประกอบกับการนวดสัมผัสทำให้น้ำมันหอมระเหยซึมผ่านผิวหนังได้ดี ปกติแล้วการนวดเพียงอย่างเดียวก็ทำให้เรารู้สึกสบายแล้ว เมื่อได้ผสมผสานกับคุณสมบัติพิเศษของน้ำมันหอมระเหยด้วยแล้ว ยิ่งทำให้การนวดนั้น มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น วิธีการใช้ก็คือนำน้ำมันหอมระเหยที่เลือกให้เหมาะกับอาการและอารมณ์ของคนไข้มาเจือจางด้วย carrier oil ปริมาณน้ำมันหอมระเหยที่ใช้จะอยู่ระหว่าง 1-3 % การนวดอาจจะนวดทั้งตัวหรือนวดเฉพาะส่วนของร่างกายที่ทำให้ไม่สบาย เช่น การใช้น้ำมันสะระแหน่ที่เจือจางแล้วนวดท้องตามเข็มนาฬิกาเพื่อช่วยระบบย่อยอาหาร เป็นต้น
3. สุวคนธบำบัดสำหรับการสูดดม (Olfactory Aromatherapy) เป็นการสูดดมกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยโดยไม่มีการสัมผัสผ่านผิวหนัง แบ่งเป็น 2 กรณีคือการสูดดมน้ำมันหอมระเหยโดยตรง (Inhalation) และการผสมน้ำมันหอมระเหยลงในน้ำร้อนแล้วสูดไอของน้ำมันหอมระเหยนั้น (Vaporization) วิธีการสูดดมน้ำมันหอมระเหยโดยตรง สามารถทำได้ง่ายๆก็คือ หยดน้ำมันหอมระเหย 1-2 หยดลงบนผ้าเช็ดหน้า แล้วสูดดมเช่นเดียวกับที่คนไทยนิยมสูดดมน้ำมันยูคาลิปตัส น้ำมันการบูรเพื่อบรรเทาอาการหวัด ส่วนวิธีสูดดมไอของน้ำมันหอมระเหยนั้นทำได้หลายวิธีเช่น หยดน้ำมันหอมระเหย 2-3 หยดลงในชามอ่างที่ใส่น้ำอุ่น ใช้ผ้าคลุมศีรษะและชามแล้วก้มลงสูดดมไอระเหยนั้น พักเป็นระยะๆ วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง และผู้ที่เป็นหอบหืด หรืออีกวิธีหนึ่งอาจใช้เตาหอม (aroma lamp) ลักษณะเป็นภาชนะดินเผาหรือเซรามิก ด้านบนเป็นแอ่งเล็กๆสำหรับใส่น้ำและมีช่องด้านล่างสำหรับใส่เทียนเพื่อให้ ความร้อน เวลาใช้ให้หยดน้ำมันหอมระเหยลงในน้ำ เมื่อน้ำร้อนจะช่วยส่งกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยให้ฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง นอกจากนี้ยังมีวิธีการใช้ในรูปแบบอื่นๆ อีก เช่น ธูปหอม เทียนหอม เป็นต้น
ข้อแนะนำถึงวิธีการใช้น้ำมันหอมระเหยทางสุวคนธบำบัด แบ่งออกเป็น 6 วิธี
วิธีที่ 1 โดยการใช้น้ำมันหอมระเหยผสมกับน้ำ แช่ตัวในอ่างอาบน้ำ : วิธีนี้ให้เติมน้ำมันหอมระเหยลงในน้ำอุ่น ที่รองเก็บไว้ในอ่างอาบน้ำ หลังจากนั้นก็กวนให้เข้ากัน ปิดประตูห้องน้ำให้สนิท เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นระเหยออกไป หลังจากนั้นก็ลงไปแช่ตัวในอ่างอาบน้ำประมาณ 10 นาที พร้อมกันนั้นให้หายใจลึกๆเพื่อสูดกลิ่นหอมนั้นเข้าไป
วิธีที่ 2 ใช้ในเวลาที่อาบน้ำโดยการตักอาบ หรืออาบจากฝักบัว : วิธีนี้ให้ใช้หยดหรือ เท น้ำมันหอมระเหยลงบนผ้า หรือฟองน้ำ หรือลูกบวบที่ใช้ถูตัว ที่เปียกน้ำหมาดๆ แล้วถูตัวหลังจากที่อาบน้ำสะอาดแล้ว
วิธีที่ 3 ใช้ในการนวดตัว (body massage) : วิธีใช้ นำน้ำมันหอมระเหยที่ผสมกับ base oils (น้ำมัน) เรียบร้อยแล้วมานวดตัว บริเวณที่นวดกันมากได้แก่บริเวณรอบลำคอ หัวไหล่ วิธีนวดให้ใช้หัวแม่มือ หรือ ฝ่ามือทั้งสองข้าง นวดจากไหล่ไปคอ แล้ววนกลับมาที่บริเวณ แขนหรือที่บริเวณหลัง โดยให้หลี่กเลี่ยงการนวดบนสันหลัง ให้นวดพร้อมกันทั้งสองมือ นวดขึ้นไปถึงหัวไหล่ และกดลงมา การนวดบริเวณหน้าท้อง ใช้ฝ่ามือนวดหมุนตามเข็มนาฬิกา การนวดบริเวณขา และเท้าให้นวดจากต้นขาลงถึงเท้า สำหรับสตรีที่ปวดหลังให้นวดจากด้านหลังแล้วอ้อมมาที่สะโพกมายังหน้าท้อง หรือควรจะปรึกษานักกายภาพบำบัด
วิธีที่ 4 การประคบเย็น (Compressed) : ผสมน้ำมันหอมระเหยลงในตัวนำพา ที่เป็นน้ำสะอาดหรือน้ำมันดอกไม้ที่แช่เย็น หลังจากนั้น กวนให้เข้ากัน ใช้ผ้าจุ่มลงไปในน้ำบิดให้หมาดๆแล้วจึงนำมาประกบตามจุดที่ต้องการ
วิธีที่ 5 การสูดดม (Inhalation) : ห้ามสูดดมโดยตรง จากขวดหรือภาชนะที่บรรจุน้ำมันหอมระเหย เพราะจะทำให้เกิดอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ต้องนำไปผสมให้เจือจางเสียก่อน
วิธีที่จะสูดดมมี 2 วิธีด้วยกันคือ
- ให้หยดน้ำมันลงบนกระดาษทิชชู หรือ ผ้าเช็ดหน้า จำนวน 1 หยด แล้วจึงนำมาสูดดม
- ถ้านำมาผสมกับ base oils เรียบร้อยแล้วก็สามารถสูดดมได้โดยตรง หรือจะหยดบนผ้าเช็ดหน้าก็ได้แต่จะทำให้ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนมัน
วิธีที่ 6 การพ่นละอองฝอยในห้อง (Room sprays) : น้ำมันหอมระเหย มาผสมกับน้ำอุ่นๆไม่เกิน 40 เซลเซียส เขย่าให้เข้ากัน แล้วนำมาบรรจุในภาชนะที่มีหัวฉีดพ่นละออง แล้วนำมาพ่นตามความต้องการ
ตัวอย่างบางส่วนของน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติที่มีใช้ในสปาทั่วไป
กฤษณา หรืออะการ์วู้ด (ไม้หอม) มีกลิ่นหอมหวาน มีคุณสมบัติกระตุ้นอารมณ์เพศ
โหระพา หรือเบซิล ทำให้ สดชื่น ลดความเครียด เพิ่มสมาธิ หากประคบเย็นช่วยลดอาการบวมอักเสบจากแมลงกัดต่อย
พริกไทยดำ หรือแบล็กเปปเปอร์ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด แก้ปวด ทำให้อบอ่น
เมล็ดแครอต หรือแครอตซีด ผสมกับน้ำมันตัวพา (คือน้ำมันพื้นฐานใช้ผสมเพื่อเจือจางน้ำมันหอมระเหย)นวดผิวที่แห้งและมีรอยเหี่ยวย่น
ซีดาร์ กลิ่นคล้ายแก่นจันทน์ คุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค กระตุ้น ขับเสมหะ เสริมพลัง
คาโมไมล์ เป็นน้ำมันหอมระเหย ที่นิยมมากเพราะมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ช่วยให้ผ่อนคลาย รักษาอาการไซนัส ปวดศีรษะ ไมเกรน อาการบวมน้ำ
อบเชย หรือซินนามอน กลิ่นบรรเทาอาการไข้ ประคบเย็นบรรเทา อาการแมลงกัดต่อย
ตะไคร้หอม หรือซิโทรเนลลา มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อและดับกลิ่น บรรเทาอาการระคายเคืองและบวม ขับไล่แมลง
กานพลู หรือโคลฟ มีสารฆ่าเชื้อและแก้ปวด กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ แก้อาการปวดฟัน
ขิง กลิ่นที่มีชีวิตชีวา ทำให้ตื่นตัว บรรเทาอาการเหนื่อยล้า ลดความ เครียด และวิตกกังวล กระตุนความรู้สึกทางเพศ
มะลิ หรือจัสมิน น้ำมันหอมกลิ่นดอกไม้หวาน คุณสมบัติคลายความ เครียด ให้ความชุ่มชื้น และเย็นผิวหนัง ลดอาการวูบวาบในวัยหมดประจำเดือน กระตุนความรู้สึกทางเพศ
ลาเวนเดอร์ นิยมมากระดับโลก เป็นยาบรรเทาอาการปวด ฆ่าเชื้อโรค แก้โรคซึมเศร้า ระงับประสาท รักษาอาการกล้ามเนื้อกระตุก
เลมอน มีกลิ่นหอมอ่อน สดชื่น กระต้นให้เข้มแข็งมีพลัง บรรเทา อาการเมื่อยล้า แก้โรคซึมเศร้า ระงับกลิ่นปาก รักษาจุดด่างดำบนใบหน้า
กุหลาบ หรือโรส บรรเทาอาการเก็บกด คลายความเครียด นอนหลับสบาย ประคบเย็น บรรเทาอาการปวด และเมื่อยตา ระงับกลิ่นปาก รักษาอาการเจ็บคอ กระต้นอารมณ์ทางเพศ
โรสแมรี่ บรรเทาจิตใจห่อเหี่ยวและเศร้าหมอง สร้างสมาธิ กระต้น การไหลเวียนของเลือด ขจัดรังแค ทำให้เส้นผมเป็นเงางาม บรรเทาอาการปวดไมเกรน
แก่นจันทน์ ไม้ จันทน์ หรือแซนเดิ้ลวู้ด มีกลิ่นหวานเข้มข้น ให้ความชุ่มชื้นผิว ลดอาการผิวอักเสบ สมานผิว ผ่อนคลายจิตใจให้สงบ ช่วยให้นอนหลับ ปรุงแต่งอารมณ์หดหู่ให้มีความสุข กระตุ้นอารมณ์ และความ รู้สึกทางเพศ
การ บำบัดด้วยกลิ่นนี้ ทุกคนสามารถทำด้วยตนเองได้แต่ควรรู้ด้วยว่ากลิ่นที่เราชอบนั้นสกัดมาจากพืช ชนิดใด และตัวเราแพ้กลิ่นหรือพืชชนิดใด