alternative medicine
  การแพทย์ทางกายและจิต (Mind and Body Medicine)
 
การแพทย์ทางกายและจิต (Mind and Body Medicine)

เป็นการแพทย์ทางเลือกหนึ่งใน 5 กลุ่ม ที่จัดแบ่งโดย National Center for Complementary and Akternative Medicine ซึ่งเป็นองค์กรลูกของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National institutes of Health) ประเทศอเมริกา เป็นกลุ่มของเทคนิควิธีการต่าง ๆ ทั้งนี้โดยที่ผู้นั้นเป็นผู้กระทำด้วยตนเอง และไม่มีการนำสสารใด ๆ เข้าสู่ร่างกาย องค์ความรู้และเทคนิควิธีดังกล่าวส่วนใหญ่มีการพัฒนามาจากภูมิปัญญาทางซีก โลกตะวันออก ซึ่งคนจากประเทศในซีกโลกตะวันตกได้มาศึกษาเรียนรู้และนำกลับไปใช้ ไปทดลอง ไปทำการศึกษาวิจัยมากมายหลายเรื่อง ก็เห็นผลดีที่เกิดขึ้นในทางบำบัดรักษาโรคและอาการต่าง ๆ จนนำไปใช้ร่วมกับการรักษาของการแพทย์แผนปัจจุบัน ข้อเขียนในหนังสือเล่มนี้เปนการนำเสนอความรู้ทางด้านการแพทย์ทางกายและจิต ที่มีข้อมูลงานวิจัยที่ทำโดยแพทย์แผนปัจจุบันในประเทศทางซีกโลกตะวันตก โดยได้หยิบยกมาเฉพาะเรื่องที่เป็นความรู้เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติทางพุทธศาสนา ได้แก่ อารมณ์ ความรู้สึกคิดที่มีผลมาถึงกาย การสวดมนต์ การทำสมาธิ การเจริญสติที่นำมาใช้ในทางบำบัดโรคหรืออาการต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยา...

สมาธิ (meditation)

การ ฝึกสมาธิทำให้จิตสงบ ต่อสู้กับความเครียดและความวิตกกังวลได้ การทำสมาธิบ่อย ทำให้จิตดีขึ้น มีพลัง มีผลต่อสุขภาพทางใจและทางกาย ทำให้ดีขึ้น ทำให้ระบบฮอร์โมนเป็นปกติ ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
และลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ เพราะในคนธรรมดาทั่วไป การ relax และ alert ไม่ไปด้วยกัน


การรักษาด้วยพลังจิต (energy healing techniques)

เช่น Qigong (Qi = vital breath, life force) (gong = discipline, work, skill) การฝึก Qigong เพื่อให้เกิดการสมดุลของ Qi (vital energy ในร่างกาย) ซึ่งมีทั้ง internal Qigong และ external Qigong

ส่วน Reike (Ray-Key) เป็นการให้พลังงานคือ engery healing จากผู้ให้การรักษา (Reike practitioner hands) ศาสตร์นี้เริ่มที่ประเทศญี่ปุ่นประมาณปี ค.ศ. 1800 และได้แพร่หลายเข้าไปในประเทศสหรัฐอเมริกา


พลังธรรมชาติ มหัศจรรย์แห่งการบำบัดโรค
 

วิทยา ศาสตร์การแพทย์ในทุกวันนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาความเจ็บป่วยได้ทั้งหมด มนุษย์จึงเริ่มหวนกลับไปหาคุณค่าของธรรมชาติอีกครั้ง จนมีคำร่ำลือต่างๆ นานาที่ท้าทายความเชื่อและดึงดูดให้เข้าไปพิสูจน์ อาทิ รับพลังแล้วหายจากมะเร็งได้ อะไรคือความจริงที่อยู่เบื้องหลังคำร่ำลือเหล่านั้น?

สมดุลพลังงาน ที่มาของสุขภาพดี

นายแพทย์ประสาน ต่างใจ นักคิดนักเขียนผู้ที่ศึกษาเรื่องจักรวาล ได้อธิบายว่า พลังงานที่เกี่ยวข้อง


กับการรักษาสุขภาพอยู่ในศาสตร์ที่เรียกว่า Mind & Body Medicine หรือ
จิตกายเวชศาสตร์ ที่สามารถอธิบายด้วย หลักการทางวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันเท่าที่มีการศึกษาพบว่า พลังงานตามธรรมชาติที่ส่งผลต่อสุขภาพมี 3 รูปแบบ คือ

1. พลังงานในกลุ่มไบโอ อิเล็กโทรแม็คเนติก (Bio Electro Magnetic = BEM) หรือ พลังชีวแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นพลังงานที่ไหลเวียนแฝงเร้นอยู่ในทุกสิ่ง มีการเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบ อยู่ในรูปของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ที่สำคัญ สุขภาพของคนขึ้นอยู่กับความสมดุลของวงจรพลังงาน เราจึงนำพลังงานนี้ ไป
รักษาความป่วยไข้ ด้วยการรักษาสมดุลของพลังงานผ่านวิธีการนวด ฝังเข็ม ซึ่งเป็นวิธีการถ่ายทอดพลังงานนี้เข้าไปในเซลล์ เพื่อกระตุ้นให้พลังในร่างกายอยู่ในสภาพสมดุลพอดี ปัจจุบันเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สามารถตรวจจับพลังงานนี้ได้ เช่น เครื่องตรวจวัดคลื่นหัวใจ และเครื่อง MRI

2. พลังงานกลุ่มไบโอโปรตอน(Bio Proton Energy) เป็นพลังงานที่อยู่ในรูปอนุภาคของแสงสามารถ

สัมผัส ได้จากคลื่นความร้อน  กลุ่มนี้เป็นพลังงานที่ร่างกายสร้างขึ้นเองจากเซลล์ทุกเซลล์ภายในร่างกาย และพบว่ามีการสร้างขึ้นมากเป็นพิเศษในอวัยวะบางกลุ่ม เรียกว่าเป็นตำแหน่งของจักระ มีทั้งหมด 7 จุดทั่วร่างกาย ซึ่งตรงกับตำแหน่งของต่อมไร้ท่อ ( Endocrine Gland ) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การรักษาโรคสามารถทำได้ด้วยการดึงเอาพลังนี้มาป้องกันรักษาตนเอง การทำสมาธิเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถสร้างพลังงานนี้ให้เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งปัจจุบันเครื่องมือวิทยาศาสตร์สามารถตรวจวัดได้แล้วเช่นกัน

3. กลุ่มพลังงานที่ยังไม่สามารถตรวจวัดได้ว่าเป็นพลังงานในรูปแบบใด เป็นลักษณะพลังงาน

ที่ สามารถสื่อผ่านสิ่งขวางกั้นได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอาคาร กำแพงแผ่นเหล็ก ด้วยความเร็วที่ไม่มีตำแหน่งแห่งที่แน่นอน   ปัจจุบันเรียกว่าเป็นพลังงานจิต  สามารถทดลองพิสูจน์การมีอยู่ของพลังงานชนิดนี้ได้  แต่ยังหา คำอธิบายที่ชัดเจนไม่ได้

พลังงานทั้งสามกลุ่มนี้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ด้วยรูปแบบที่ต่างกันนับร้อยพันวิธีซึ่งมีคำอธิบายที่อิงกับ

สิ่งแวดล้อมวัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยมของแต่ละสังคม บางศาสตร์มีการถ่ายทอดต่อเนื่องกันมาจนถึง
ปัจจุบัน ขณะที่บางศาสตร์มีการสูญหายไปตามระยะเวลา

พลังธรรมชาติเพื่อการรักษาโรคที่มีปรากฏเป็นศาสตร์ชัดเจนในปัจจุบัน

ในเมืองไทยเองมีการนำพลังงานเหล่านี้มาใช้ ทั้งในรูปแบบภูมิปัญญาไทยที่เชื่อมโยงกับหลัก

พุทธ ศาสนา  คือเรื่องของพลังสมาธิ  และการ  รับเข้ามาจากต่างวัฒนธรรม ได้แก่ การฝังเข็ม การกดจุด การเยียวยาจักระ พลังปราณคอสมิก พลังจักรวาล โยเร ซึ่งมีการจัดตั้งกลุ่มคอยให้บริการแก่สมาชิกและผู้สนใจ

Cosmic Energy หรือ Universal Energy เรียกในภาษาไทยว่าพลังจักรวาลหรือพลังกายทิพย์ เป็นศาสตร์บนแนวคิดที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล อวกาศ และสสารทุกชนิด มีกลุ่มพลังงานแฝงเร้นอยู่ กล่าวกันว่า ศาสตร์นี้มีการศึกษาค้นคว้ามาราว 4 - 5 พันปี โดยกลุ่มที่มีการพัฒนาสมาธิจิตระดับสูง แล้วค้นพบว่า บนร่างกายคนเรา มีจุดทรงกลมที่สามารถรับ และถ่ายพลังจากธรรมชาตินี้ได้เจ็ดแห่ง เรียกว่า จักระ โดยจุดเหล่านี้ จะทำหน้าที่หล่อเลี้ยง หรือควบคุมร่างกายและจิตใจมนุษย์ เพื่อทำให้เกิดภาวะสมดุลหรือสุขภาพที่ดี ถ้าจักระใดจักระหนึ่งทำงานบกพร่องก็จะเกิดการเสียสมดุล หรือเกิดโรคขึ้นที่ส่วนหรือระบบนั้นๆ การเรียนรู้การเปิดจักระคือการจูนคลื่นรับพลังนี้เข้าสู่ร่างกาย

ปัจจุบันในเมืองไทยมีองค์กรเพื่อรักษาและเผยแพร่พลังจักรวาลสองแห่ง คือ ศูนย์พลังกายทิพย์

เพื่อ สุขภาพ และมูลนิธิเพื่อฝึกพลังจักรวาล นอกจากนี้แล้วพลังจักรวาลยังมีการแตกสาขาออกไปเป็นพลังต่างๆ เช่น พลังเรกิ พลังกุณฑาลินี พลังปราณ ซึ่งอยู่บนฐานที่เชื่อว่า ในคนเรามีพลังงานซึ่งมีชื่อเรียกต่างกันไป เช่น ชี่ ปราณ พลังชีวิต โดยพลังงานนี้ที่ไหลเวียนไปตามเส้นโคจรในร่างกายและมีการกระจุกตัวหนาแน่นใน บางจุด อันเป็นจุดที่เรียกว่าจักระ การไหลเวียนของพลังงานจะส่งผลต่อสุขภาพทั้งกายใจ หากพลังงานไหลติดขัดหรือไม่สมดุล จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับโมเลกุลและเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกาย ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น แม้กระทั่งภาวะซึมเซา เครียด เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ก็เป็นผลมาจากความแปรปรวนของปราณด้วยเช่นกัน

รับพลังธรรมชาติด้วยตัวคุณเอง

ในชีวิตประจำวันเราสามารถเปิดรับพลังงานจากธรรมชาติด้วยตัวเอง โดยมีช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด

คือตอนเช้าตรู่ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่สงบ สะอาด ไร้สิ่งรบกวน และเป็นช่วงที่ร่างกายของเราเปิดรับพลังได้ดีที่สุด

วิธีการรับพลังนั้นทำง่าย สะดวก สามารถทำได้ทุกคนโดยไม่จำกัดเพศ วัย สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำจิต

ให้ นิ่งเป็นสมาธิ เดินเท้าเปล่า ให้เท้าสัมผัสพื้นดิน ก้อนหินต้นหญ้า หลับตา เดินช้าๆ หายใจเข้าออกลึกๆ มีจิตรับรู้สัมผัสทุกย่างก้าวที่ผ่านไป และตั้งจิตให้เป็นสมาธิ หยุดคิดเรื่องกังวลต่างๆ คิดว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แต่ละครั้งควรทำประมาณ 15 นาทีขึ้นไป

 

 
 
  Today, there have been 11 visitors (40 hits) on this page!  
 
This website was created for free with Own-Free-Website.com. Would you also like to have your own website?
Sign up for free