พลังธรรมชาติ มหัศจรรย์แห่งการบำบัดโรค
|
วิทยา ศาสตร์การแพทย์ในทุกวันนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาความเจ็บป่วยได้ทั้งหมด มนุษย์จึงเริ่มหวนกลับไปหาคุณค่าของธรรมชาติอีกครั้ง จนมีคำร่ำลือต่างๆ นานาที่ท้าทายความเชื่อและดึงดูดให้เข้าไปพิสูจน์ อาทิ รับพลังแล้วหายจากมะเร็งได้ อะไรคือความจริงที่อยู่เบื้องหลังคำร่ำลือเหล่านั้น?
|
สมดุลพลังงาน ที่มาของสุขภาพดี |
นายแพทย์ประสาน ต่างใจ นักคิดนักเขียนผู้ที่ศึกษาเรื่องจักรวาล ได้อธิบายว่า พลังงานที่เกี่ยวข้อง
|

กับการรักษาสุขภาพอยู่ในศาสตร์ที่เรียกว่า Mind & Body Medicine หรือ
จิตกายเวชศาสตร์ ที่สามารถอธิบายด้วย หลักการทางวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันเท่าที่มีการศึกษาพบว่า พลังงานตามธรรมชาติที่ส่งผลต่อสุขภาพมี 3 รูปแบบ คือ
1. พลังงานในกลุ่มไบโอ อิเล็กโทรแม็คเนติก (Bio Electro Magnetic = BEM) หรือ พลังชีวแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นพลังงานที่ไหลเวียนแฝงเร้นอยู่ในทุกสิ่ง มีการเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบ อยู่ในรูปของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ที่สำคัญ สุขภาพของคนขึ้นอยู่กับความสมดุลของวงจรพลังงาน เราจึงนำพลังงานนี้ ไป
รักษาความป่วยไข้ ด้วยการรักษาสมดุลของพลังงานผ่านวิธีการนวด ฝังเข็ม ซึ่งเป็นวิธีการถ่ายทอดพลังงานนี้เข้าไปในเซลล์ เพื่อกระตุ้นให้พลังในร่างกายอยู่ในสภาพสมดุลพอดี ปัจจุบันเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สามารถตรวจจับพลังงานนี้ได้ เช่น เครื่องตรวจวัดคลื่นหัวใจ และเครื่อง MRI |
2. พลังงานกลุ่มไบโอโปรตอน(Bio Proton Energy) เป็นพลังงานที่อยู่ในรูปอนุภาคของแสงสามารถ
|
สัมผัส ได้จากคลื่นความร้อน กลุ่มนี้เป็นพลังงานที่ร่างกายสร้างขึ้นเองจากเซลล์ทุกเซลล์ภายในร่างกาย และพบว่ามีการสร้างขึ้นมากเป็นพิเศษในอวัยวะบางกลุ่ม เรียกว่าเป็นตำแหน่งของจักระ มีทั้งหมด 7 จุดทั่วร่างกาย ซึ่งตรงกับตำแหน่งของต่อมไร้ท่อ ( Endocrine Gland ) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การรักษาโรคสามารถทำได้ด้วยการดึงเอาพลังนี้มาป้องกันรักษาตนเอง การทำสมาธิเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถสร้างพลังงานนี้ให้เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งปัจจุบันเครื่องมือวิทยาศาสตร์สามารถตรวจวัดได้แล้วเช่นกัน
|
3. กลุ่มพลังงานที่ยังไม่สามารถตรวจวัดได้ว่าเป็นพลังงานในรูปแบบใด เป็นลักษณะพลังงาน
|
ที่ สามารถสื่อผ่านสิ่งขวางกั้นได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอาคาร กำแพงแผ่นเหล็ก ด้วยความเร็วที่ไม่มีตำแหน่งแห่งที่แน่นอน ปัจจุบันเรียกว่าเป็นพลังงานจิต สามารถทดลองพิสูจน์การมีอยู่ของพลังงานชนิดนี้ได้ แต่ยังหา คำอธิบายที่ชัดเจนไม่ได้ |
พลังงานทั้งสามกลุ่มนี้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ด้วยรูปแบบที่ต่างกันนับร้อยพันวิธีซึ่งมีคำอธิบายที่อิงกับ
|
สิ่งแวดล้อมวัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยมของแต่ละสังคม บางศาสตร์มีการถ่ายทอดต่อเนื่องกันมาจนถึง
ปัจจุบัน ขณะที่บางศาสตร์มีการสูญหายไปตามระยะเวลา |
พลังธรรมชาติเพื่อการรักษาโรคที่มีปรากฏเป็นศาสตร์ชัดเจนในปัจจุบัน |
ในเมืองไทยเองมีการนำพลังงานเหล่านี้มาใช้ ทั้งในรูปแบบภูมิปัญญาไทยที่เชื่อมโยงกับหลัก
|
พุทธ ศาสนา คือเรื่องของพลังสมาธิ และการ รับเข้ามาจากต่างวัฒนธรรม ได้แก่ การฝังเข็ม การกดจุด การเยียวยาจักระ พลังปราณคอสมิก พลังจักรวาล โยเร ซึ่งมีการจัดตั้งกลุ่มคอยให้บริการแก่สมาชิกและผู้สนใจ
Cosmic Energy หรือ Universal Energy เรียกในภาษาไทยว่าพลังจักรวาลหรือพลังกายทิพย์ เป็นศาสตร์บนแนวคิดที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล อวกาศ และสสารทุกชนิด มีกลุ่มพลังงานแฝงเร้นอยู่ กล่าวกันว่า ศาสตร์นี้มีการศึกษาค้นคว้ามาราว 4 - 5 พันปี โดยกลุ่มที่มีการพัฒนาสมาธิจิตระดับสูง แล้วค้นพบว่า บนร่างกายคนเรา มีจุดทรงกลมที่สามารถรับ และถ่ายพลังจากธรรมชาตินี้ได้เจ็ดแห่ง เรียกว่า จักระ โดยจุดเหล่านี้ จะทำหน้าที่หล่อเลี้ยง หรือควบคุมร่างกายและจิตใจมนุษย์ เพื่อทำให้เกิดภาวะสมดุลหรือสุขภาพที่ดี ถ้าจักระใดจักระหนึ่งทำงานบกพร่องก็จะเกิดการเสียสมดุล หรือเกิดโรคขึ้นที่ส่วนหรือระบบนั้นๆ การเรียนรู้การเปิดจักระคือการจูนคลื่นรับพลังนี้เข้าสู่ร่างกาย
|
ปัจจุบันในเมืองไทยมีองค์กรเพื่อรักษาและเผยแพร่พลังจักรวาลสองแห่ง คือ ศูนย์พลังกายทิพย์
|
เพื่อ สุขภาพ และมูลนิธิเพื่อฝึกพลังจักรวาล นอกจากนี้แล้วพลังจักรวาลยังมีการแตกสาขาออกไปเป็นพลังต่างๆ เช่น พลังเรกิ พลังกุณฑาลินี พลังปราณ ซึ่งอยู่บนฐานที่เชื่อว่า ในคนเรามีพลังงานซึ่งมีชื่อเรียกต่างกันไป เช่น ชี่ ปราณ พลังชีวิต โดยพลังงานนี้ที่ไหลเวียนไปตามเส้นโคจรในร่างกายและมีการกระจุกตัวหนาแน่นใน บางจุด อันเป็นจุดที่เรียกว่าจักระ การไหลเวียนของพลังงานจะส่งผลต่อสุขภาพทั้งกายใจ หากพลังงานไหลติดขัดหรือไม่สมดุล จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับโมเลกุลและเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกาย ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น แม้กระทั่งภาวะซึมเซา เครียด เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ก็เป็นผลมาจากความแปรปรวนของปราณด้วยเช่นกัน |
รับพลังธรรมชาติด้วยตัวคุณเอง |
ในชีวิตประจำวันเราสามารถเปิดรับพลังงานจากธรรมชาติด้วยตัวเอง โดยมีช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
|
คือตอนเช้าตรู่ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่สงบ สะอาด ไร้สิ่งรบกวน และเป็นช่วงที่ร่างกายของเราเปิดรับพลังได้ดีที่สุด |
วิธีการรับพลังนั้นทำง่าย สะดวก สามารถทำได้ทุกคนโดยไม่จำกัดเพศ วัย สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำจิต
|
ให้ นิ่งเป็นสมาธิ เดินเท้าเปล่า ให้เท้าสัมผัสพื้นดิน ก้อนหินต้นหญ้า หลับตา เดินช้าๆ หายใจเข้าออกลึกๆ มีจิตรับรู้สัมผัสทุกย่างก้าวที่ผ่านไป และตั้งจิตให้เป็นสมาธิ หยุดคิดเรื่องกังวลต่างๆ คิดว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แต่ละครั้งควรทำประมาณ 15 นาทีขึ้นไป |